พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
พัฒนาการทางการเมืองของอาณาจักร
ราชอาณาจักรอยุธยา ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่อโยธยา ราชอาณาจักรนี้เกิดจากการรวมกันของแคว้นสำคัญ 2 แคว้น คือแคว้นสุพรรณภูมิ และแคว้นละโว้ แคว้นสุพรรณภูมิเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง เดิมคือ แคว้นนครชัยศรี ต่อมาได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่สุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี แคว้นนี้เป็นแคว้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นจึงเป็นแคว้นที่มีพื้นฐานในเรื่องความเข้มแข็งของกำลังคน ส่วนแคว้นละโว้หรือลพบุรีเป็นแคว้นที่เป็นศูนย์กลางของขอมที่ใช้ปกครองภูมิภาคนี้มาก่อน ละโว้จึงมีความเจริญในด้านของวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีรากฐานมาจากอารยธรรมของเขมร
การรวมตัวกันของสองแคว้นเกิดขึ้นจากการสร้างสายสัมพันธ์ทางเครือญาติด้วยการแต่งงานในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ราว พ.ศ. 1893 ก่อตั้งเป็นราชวงศ์อู่ทองปกครองราชอาณาจักรอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ต่อมาราว พ.ศ. 1913 ราชวงศ์สุพรรณภูมิอำนาจทางการเมืองแทนและได้ปกครองอยุธยาสืบต่อมาอีกกว่า 150 ปี ช่วงสมัยที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิปกครองบ้านเมืองนั้น ได้มีการพัฒนารูปแบบการปกครองให้มีประสิทธิภาพขึ้น มีระบบราชการที่ซับซ้อนตลอดจนมีการแผ่อิทธิพลทางการเมืองออกไปอย่างกว้างขวาง ครอบคลุม หัวเมืองมลายู เขมร มอญ และยังผนวกสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรต่อมาราชวงศ์สุพรรณภูมิต้องประสบกับปัญหาการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มราชวงศ์ และยังต้องเผชิญหน้ากับราชอาณาจักรพม่าที่ขยายอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาในภูมิภาคนี้ อำนาจทางการเมืองอันเข้มแข็งของราชวงศ์สุพรรณภูมิจึงได้เสื่อมลงจนกระทั่งเมื่อได้ทำสงครามกับพม่าหลายครั้งตอนปลายราชวงศ์ อยุธยาก็พ่ายแพ้และตกเป็นประเทศราชของพม่า ใน พ.ศ. 2112 ตรงกับรัชสมัยของพระมหินทราธิราช
ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกต่อมาอีกประมาณ 15 ปี สมเด็จพระนเรศวรแห่งราชวงศ์สุโขทัยได้ทำสงครามปลดแอกพม่าจนขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองในราชอาณาจักรได้ ในช่วงรัชสมัยนี้จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ อาณาจักรอยุธยาเริ่มเป็นปึกแผ่น และมีความเข้มแข็งทางการเมืองสูงเพราะมีการปรับระบบราชการใหม่ โดยใช้ขุนนางเป็นกลไกทางการเมือง ทำให้ขจัดปัญหาการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มราชวงศ์ไปได้
อย่างไรก็ตามหลังสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ
กลุ่มขุนนางก็กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาผู้นำขุนนางก็ได้ชิงอำนาจจากราชวงศ์สุโขทัย สถาปนาราชวงศ์ปราสาททองขึ้นปกครองอยุธยาในราว พ.ศ. 2172อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรของชนชาติไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310
มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจหรือราชธานี
อาณาจักรอยุธยานับว่าเจริญรุ่งเรืองจนอาจถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคสุวรรณภูมิ[2]
ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ
จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ[3] เช่น จีน เวียดนาม
อินเดีย
ญี่ปุ่น
เปอร์เซีย
รวมทั้งชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส
สเปน ดัตช์
(ฮอลันดา) และฝรั่งเศส
ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึงรัฐฉานของพม่า อาณาจักรล้านนา
มณฑลยูนนาน
อาณาจักรล้านช้าง
อาณาจักรขอม และคาบสมุทรมลายูในปัจจุบัน[4]
กรุงศรีอยุธยา[แก้]
กรุงศรีอยุธยาเป็นเกาะซึ่งมีแม่น้ำสามสายล้อมรอบ ได้แก่ แม่น้ำป่าสักทางทิศเหนือ, แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และแม่น้ำลพบุรีทางทิศตะวันออก เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ แต่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้งสามสาย เพื่อให้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันข้าศึก ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังอยู่ห่างจากอ่าวไทยไม่มากนัก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับชาวต่างประเทศ และอาจถือว่าเป็น "เมืองท่าตอนใน" เนื่องจากเป็นศุนย์กลางเศรษฐกิจของภุมิภาค มีสินค้ากว่า40ชนิดจากสงครามและบรรณาการ แม้ว่าตัวเมืองจะไม่ติดทะเลก็ตามมีการประเมินว่า ราว พ.ศ. 2143 กรุงศรีอยุธยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจสูงถึง 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 ทำให้เป็นหนึ่งในนครใหญ่ที่สุดของโลกขณะนั้น[5] บางครั้งมีผู้เรียกกรุงศรีอยุธยาว่า "เวนิสแห่งตะวันออก"[6][7]
ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยนั้น คือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา[8] ตัวนครปัจจุบันถูกตั้งขึ้นใหม่ห่างจากกรุงเก่าไปไม่กี่กิโลเมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น