ยินดีที่แวะมาเยี่ยม web blog ทักษะการจัดการความรู้ (KM) ทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนศตวรรษที่ 21 วิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ขอบคุณคุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา และเพื่อนๆ ที่แนะนำให้คำปรึกษา

ข่าว

ข่าว2

ครูเกษียณอายุราชการ2558
ข่าวสารทั่วไป
24โดย : admin
24/ส.ค./2558
2 stars ( 2 / 12 )
ประกาศผลการสอบวัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ SPK SCIENCE TEST ครั้งที่ 4 ( 1967 / )
ประกาศผลสอบวัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ SPK SCIENCE TEST ครั้งที่ 4 อ่านต่อ....
12โดย : admin
12/ส.ค./2558
4.5 stars ( 4.5 / 9 )
ค้นหารายชื่อนักเรียน ( 419 / )
ค้นหาชื่อนักเรียน อ่านต่อ....
ภาพกิจกรรมใหม่ล่าสุด
รวมภาพกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์ประจำปีการศึกษา 2558
ข่าวการศึกษา
ข่าวครูบ้านนอก

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558


ความหมายของประวัติศาสตร์
คำว่า “ ประวัติศาสตร์ ” เป็นศัพท์บัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 ได้ทรงริเริ่มใช้ในความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ History ” อันมีรากศัพท์เดิมมาจากภาษากรีกว่า “ Histor ” มีความหมายเดิมแปลว่า “ ถัก ” หรือ “ ทอ ” ส่วนคำว่า “ Histor ” นี้ได้บัญญัติใช้เป็นครั้งแรกโดยนักปราชญ์ชาวกรีกผู้มีนามว่า เฮโรโดตุส ด้วยการใช้คำว่า “ Historiai ” เรียกเรื่องราวที่เขาสืบสวนค้นคว้ารวบรวมขึ้นมา ดังนั้นจึงทำให้เฮโรโดตุสได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์

สำหรับการจำกัดความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ ได้มีผู้ให้ความหมายและคำจำกัดความอย่างมากมายทั้งนักปราชญ์ในซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออก ซึ่งได้ยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้ คือ
  • ลีโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ เรื่องราวของชีวิตของประเทศชาติและมนุษย์ ซึ่งมองโดยตรงและสรุปรวมเป็นคำพูดได้ว่า การบรรยายชีวิตของผู้คนเพียงกลุ่มเดียวโดยมิได้รวมถึงมนุษย์ชาตินั้น ดูจะเป็นไปไม่ได้ ”
     
  • โรเบิร์ต วี. แดเนียลส์ กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ ความทรงจำว่าด้วยประสบการณ์ของมนุษย์ ซึ่งถ้าถูกลืมหรือละลาย ก็เท่ากับว่าเราได้ยุติแนวทางอันบงชี้ว่าเรา คือ มนุษย์ หากไม่มีประวัติศาสตร์เสียแล้ว เราจะไม่รู้ว่าเราคือใคร เป็นมาอย่างไร เหมือนคนเคราะห์ร้ายตกอยู่ในภาวะมึนงง เสาะหาเอกลักษณ์ของเราอยู่ท่ามกลางความมืด ”
     
  • สำหรับนักวิชาการในประเทศไทย ต่างได้ให้คำจำกัดความสำหรับความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ไว้เช่นเดียวกันกับนักปราชญ์ชาวตะวันตก ดังเช่น ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ ศ.อาคม พัฒิยะ กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่ออธิบายอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา หรือประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่อเข้าใจอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา ”
จากการให้คำจำกัดความและการให้ความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ของนักวิชาการทั้งหลายข้างต้น ทำให้สามารถประมวลและสรุปความหมายของประวัติศาสตร์ได้ว่า “ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษา การสืบเสาะ การค้นพบ ในส่วนของเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ ในบริบทของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ โดยเป็นเรื่องราวของคนในสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ซึ่งเรื่องราวต่างๆนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือมีมิติเวลา มีการศึกษาด้วยวิธีการอธิบาย เพื่อหาเหตุผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น โดยใช้หลักฐานที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยหรือช่วงเวลานั้นๆประกอบในการศึกษา                                                                                                                         การวิพากษ์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ 

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษร หรือ ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ต่างมีความสำคัญในฐานะที่เป็นสิ่งสะท้อนและบอกให้ทราบว่า ในอดีตช่วงเวลาที่ร่วมสมัยกับหลักฐานประวัติศาสตร์ประเภทนั้นๆ สังคมมนุษย์แห่งนั้นมีสภาพสังคมและวัฒนธรรมเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่ควรพึงระวังในการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้น มีความเที่ยงตรงและบอกข้อเท็จจริงโดยปราศจากการมีอคติ

การที่เราจะแน่ใจได้ว่าหลักฐานทางประวัติศาตร์นั้นๆ มีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดนั้น ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยหลักทางการศึกษาประวัติศาสตร์ในเบื้องต้นเสียก่อน ด้วยการตรวจสอบข้อสนเทศที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานนั้นๆ ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งวิธีการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งภายในและภายนอกนี้ เรียกกันว่า “วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์”
 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย 

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

- หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าแบ่งตามลักษณะเด่นของข้อสนเทศที่ให้ในหลักฐานแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ 12 ประเภท คือ
  1. จดหมายเหตุชาวต่างชาติ
  2. จดหมายเหตุชาวพื้นเมือง
  3. ตำนาน
  4. พงศาวดารแบบพุทธศาสนา
  5. พระราชพงศาวดาร
  6. เอกสารราชการหรือเอกสารการปกครอง
  7. หนังสือเทศน์
  8. วรรณคดี
  9. บันทึก
  10. จดหมายส่วนตัว
  11. หนังสือพิมพ์
  12. งานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์

    แต่อย่างไรก็ตามมีหลักฐานอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วมีข้อสนเทศตรงกับประเภทใดประเภทหนึ่งตามที่กล่าวไปแล้วใน 12 ประเภท แต่เนื่องจากมีลักษณะที่พิเศษของตนเอง และครอบงำประวัติศาสตร์ยุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ขึ้นไปอย่างมาก จึงจัดให้เป็นหมวดหนึ่งต่างหากออกไป ได้แก่
  13. จารึก
2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
  1. หลักฐานทางโบราณคดี เช่น หลุมฝังศพ ซากโครงกระดูก เครื่องปั้นดินเผา ลูกปัด หม้อ ไห ถ้วย ชาม ภาชนะต่างๆ หลักฐานเหล่านี้ได้ผ่านการตีความหมายของนักโบราณคดีตามหลักวิชาอย่างถูกต้องแล้ว
     
  2. หลักฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ คือ สิ่งก่อสร้างในงานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และสิ่งแวดล้อมของสังคมที่ให้กำเนิดศิลปกรรมทั้งหลาย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะมักจะช่วยกำหนดอายุของเมืองหรืออารยธรรมที่ไม่มีหลักฐานอย่างอื่นบอกไว้
  3. นาฏกรรมและดนตรี มักเป็นศิลปะที่ได้รับสืบทอดจารีตมาแต่อดีต
     
  4. คำบอกเล่า คือ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีการจดเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน จึงแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและคนเล่า ซึ่งคำบอกเล่านี้มักเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่คนภายในสังคมนั้นมีข้อจำกัดทางการศึกษาจึงใช้การจดจำบอกเล่าสืบต่อกันมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น